นี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจับตานะครับ หลังเศรษฐกิจจีนชะลอตัว หนึ่งในอุตสาหกรรมใหญ่ของจีน คือ “เหล็ก” ก็ประสบปัญหาทันที
1. อย่างที่ทราบกันดีว่า จีน ถือเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตเหล็กมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะความต้องการในประเทศที่สูงในช่วงก่อนหน้า จากนโยบาย Urbanization (ย้ายคนเข้าเมือง) ต้องการสิ่งปลูกสร้างเยอะๆ ก็ทำให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาส และโดดเข้าร่วมวงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2. แต่เพราะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง ความต้องการในประเทศเลยลดลง ผู้ผลิตยังอยากขายของ ก็เลยออกมาขายต่างประเทศ แต่เพราะราคาเหล็กมันลดลง การจะรักษายอดขายให้ได้ระดับเดิม เลยจำเป็นต้องผลิตเพิ่มขึ้นไปอีก กำลังการผลิตเห็ลกของจีนเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา โตเฉลี่ยเกินปีละ 20% ทีเดียว
3. เหล็กนำเข้าจากจีนที่มีราคา(โคตร)ถูกและมีคุณภาพก็ไม่ได้แย่เสียด้วย มันเลยกลายเป็นว่า ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กในประเทศต่าง ๆ ที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่า
4. กำลังการผลิตเหล็กส่วนเกินของจีน วิ่งมาที่ตลาด ASEAN ราวๆถึง 40 ล้านตัน อีกราว 60 ล้านตัน จีนกระจายส่งออกไปยังอเมริกา ตะวันออกกลาง รัสเซียและยุโรป และประเทศอื่นๆ เรียกว่า โดนจีนทุ่มตลาดกันทั้งโลกทีเดียว จะไม่ให้ผู้ผลิตรายอื่นตายได้ไง
5. SSI เลยแจ้งหยุดกิจการโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษเมื่อปีที่แล้ว
6. “TATA Steel” ผู้ผลิตเหล็กยักษ์ใหญ่ของอินเดียก็บอกว่า มีแผนขายสินทรัพย์ในอังกฤษ คนงานหลายพันคนเสี่ยงตกงานเพิ่มทันที
7. ในที่ประชุม G20 เมื่อปลายเดือน ก.พ. จีนเพิ่งถูกกดดันจากนานาประเทศถึงการทุ่มตลาดของเหล็กที่ส่งออกจากจีน ทำให้ จีนอาจต้องเลือกเตรียมลดการผลิตเหล็ก และถ่านหิน ซึ่งถ้าจีนจะทำจริงๆ รัฐบาลต้องรีบหาวิธีรับมือกับพนักงานร่วมๆ 2 ล้านชีวิตที่กำลังจะว่างงานให้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
8. Angang Steel Co. ผู้นำอุตสาหกรรมเหล็กรายใหญ่ในจีน มีความเห็นว่า อุตสาหกรรมเหล็กของโลก กำลังเข้าสู่ยุค ‘Ice Age’ หรือยุคน้ำแข็ง ที่ทุกคนประสบปัญหาขาดทุน และเงื่อนไขในการอยู่รอด มันเหลือน้อยลงทุกที
จากนี้ดูเหมือนว่า ผู้ผลิตเหล็กไม่ว่าจะรายเล็กรายใหญ่ น่าจะมีล้มหายตายจากไปเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาวะ Oversupply ลดลงตามกลไก ยกเว้นแต่ว่า Demand ดันชะลอตัวลงเร็วกว่า
จับตานะครับ กระบวนการปรับสมดุลของอุตสาหกรรมเหล็กกำลังร้อนแรงขึ้น และมันอาจไปเร่งในอุตสาหกรรมอื่นที่มีสภาวะคล้ายๆกันก็เป็นได้
“Special Thanks” Mr.Messenger